คลังเก็บป้ายกำกับ: อาญา

ประเด็น : ใช้ถุงพลาสติกไม่มีช่องอากาศครอบศีรษะแล้วใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณลำคอผู้ตาย จำเลยย่อมเห็นผลได้ว่าจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตายได้ ถือว่ามีเจตนาฆ่า จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288

คำพิพากษาฎีกาที่ 5332/2560
จำเลยใช้ถุงพลาสติกซึ่งไม่มีช่องอากาศครอบศีรษะผู้ตาย แล้วใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณลำคอผู้ตาย
…..แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่มีเจตนาฆ่า เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายจริงจำเลยก็คงเอามีดแทงหรือบีบคอผู้ตายให้ถึงแก่ความตายไปแล้ว คงไม่ต้องลำบากหาถุงพลาสติกมาครอบศรีษะจำเลยนั้น
เห็นได้ว่าแม้จำเลยจะไม่ประสงค์ต่อผลที่จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย คงเพียงแต่จะทรมานผู้ตายเท่านั้น แต่จำเลยย่อมเห็นผลได้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายได้ จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288
การที่จำเลยจะอ้างว่าการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้นั้นต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเสียก่อน และต้องเป็นการกระทำความผิดในขณะที่ถูกผู้ตายข่มเหงด้วย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะกันในขณะที่จำเลยขับรถยนต์มากับผู้ตาย แม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายทุบตีและถีบจำเลยจนทำให้รถยนต์เสียหลักไปชนกับขอบทางด่วน แต่สาเหตุที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยนั้น เกิดจากการที่จำเลยหลอกลวงให้ผู้ตายไปพบเพื่อดูรถยนต์ที่จำเลยจะนำมาตีใช้หนี้ให้แก่ผู้ตาย ซึ่งถือว่าจำเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อจำเลยใช้เข็มขัดพลาสติกรัดสายไฟมัดมือมัดเท้า ใช้เทปปิดปากผู้ตายและถอดเสื้อผ้าของผู้ตายออกทิ้งไปแล้ว ผู้ตายย่อมไม่อาจกระทำการอันเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อไปได้
การที่จำเลยยังคงใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะผู้ตายและใช้เทปมัดถุงพลาสติกรัดคอผู้ตายจนแน่น โดยอ้างว่ายังคงได้ยินเสียงผู้ตายด่าทอและขู่จะทำร้ายภรรยาและบุตรของจำเลย จนทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้น ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในขณะที่ถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

ประเด็น : ลูกหนี้ผิดนัด ผู้รับจำนำจึงเอารถยนต์ที่ลูกหนี้จำนำไว้ไปขาย โดยไม่บอกกล่าวบังคับจำนำเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาพอสมควรก่อน ผู้รับจำนำมีความผิดฐานยักยอก ตาม ป.อ.มาตรา 352

คำพิพากษาฎีกาที่ 1997/2563 จำเลยรับจำนำรถยนต์พิพาทจาก ป. จำเลยมีเพียงสิทธิยึดถือครอบครองรถยนต์พิพาทไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและมีสิทธิจะขายทรัพย์จำนำได้ต่อเมื่อบอกกล่าวบังคับจำนำเป็นหนังสือไปยัง ป. ให้ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาอันสมควรก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 758 และ 764 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้ ป. ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาพอสมควร จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรถยนต์พิพาทไปขาย แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยนำไปขายให้แก่บุคคลใดก็ตาม แต่การที่จำเลยแจ้งแก่ ป. ว่าได้ขายรถยนต์พิพาทไปแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการขายรถยนต์พิพาท เมื่อจำเลยยึดถือครอบครองรถยนต์พิพาทแทน ป. ผู้จำนำแล้วจำเลยนำรถยนต์พิพาทไปขายและไม่สามารถนำมาคืนให้แก่ ป. ผู้จำนำซึ่งได้ใช้สิทธิไถ่ถอนโดยนำเงินมาชำระหนี้แก่จำเลยแล้ว จึงเป็นการเบียดบังเอารถยนต์พิพาทนั้นไปเป็นของตนโดยทุจริต อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ป. ผู้จำนำ ผู้เสียหายที่ 1 ผู้ให้เช่าซื้อและผู้เสียหายที่ 2 เจ้าของรถยนต์พิพาทในขณะนั้น จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอก

ประเด็น : จำเลยยิงปืนใส่กลุ่มบุคคลเป็นเจตนาเล็งเห็นผล ไม่ใช่การกระทำโดยพลาดหรือประมาท คำพิพากษาฎีกาที่ 6684/2562

คำพิพากษาฎีกาที่ 6684/2562 ความผิดฐานกระทำโดยพลาด ตาม ป.อ. มาตรา 60 นั้น หมายความว่าผู้ใด เจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป กฎหมายย่อมถือเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญว่า ไม่ได้มีเจตนากระทำต่อผู้ที่ถูกกระทำโดยพลาด แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และต้องไม่ใช่กรณีที่ผู้กระทำเล็งเห็นผลของการกระทำโดยเจตนาเล็งเห็นผล

วันเกิดเหตุเป็นวันเทศกาลสงกรานต์ การจราจรติดขัด มีรถยนต์และผู้คนกําลังเล่นน้ำ สงกรานต์ในวันเทศกาลอย่างพลุกพล่าน แต่ทิศทางที่จําเลยที่ 1 เล็งปืนไปข้างหน้าใส่กลุ่มวัยรุ่นนั้น มีรถยนต์แล่นอยู่เป็นแนวโดยตลอดและมีการยิงปืนเพียงข้างเดียวจากจําเลย ที่ 1 ไม่มีการยิงปืนจากฝ่ายตรงข้าม และนอกจากรถยนต์คันที่โจทก์ร่วมนั่งโดยสารมาแล้ว กระสุนปืนที่จําเลยที่ 1 ยิง ยังไปถูกรถกระบะอีกคันหนึ่งด้วย การที่มีผู้คนกําลังเล่นน้ำ สงกรานต์และมีรถยนต์แล่นขวางทางเบื้องหน้า แต่จําเลยที่ 1 ยังคงยิงปืนออกไป ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาเล็งเห็นแล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกบุคคลอื่นที่อยู่ข้างหน้านั้นได้ การกระทำของจําเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเล็งเห็นผลว่ากระสุนปืนอาจถูกบุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ จําเลยที่ 1 จึงมีเจตนาพยายามฆ่าโจทก์ร่วม หาใช่เป็นการกระทำโดยพลาดไม่

ประเด็น : จำเลยพูดให้สัมภาษณ์ที่พม่าหมิ่นประมาทโจทก์ ความผิดสำเร็จเมื่อนักข่าวทราบข้อความนั้น จำเลยกระทำความผิดนอกราชฯ และไม่ใช่กรณี ตามม.5 ที่ผลเกิดในราชฯ ซึ่งจะถือว่าได้กระทำความผิดในราชฯ จึงไม่ต้องรับโทษในราชฯ (ฎ.6593/2559)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6593/2559 ความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 326 ไม่ใช่ความผิดที่มีผลเกิดขึ้นต่างหากจากการกระทำ เมื่อจำเลยพูดให้สัมภาษณ์นักข่าว การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นความผิดย่อมสำเร็จ เมื่อนักข่าวซึ่งเป็นบุคคลที่สามทราบข้อความแล้ว โดยคนที่ถูกหมิ่นประมาทไม่ต้องรู้ว่าตนเองถูกหมิ่นประมาท สำหรับข้อที่ว่าโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังนั้น เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ไม่ใช่ผลของการกระทำ จึงไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา 5 วรรคแรก เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทนอกราชอาณาจักรและไม่ใช่กรณีกระทำความผิดที่ประมวลกฎหมายอาญาถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร ผู้กระทำความผิดจึงไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร

ประเด็น : ผู้ให้กู้นำสัญญากู้ปลอมมาฟ้อง ต่อมาได้เบิกความเท็จและนำสัญญากู้ปลอมมาสืบพยานต่อศาล แม้ทำคนละวัน แต่ทำโดยมีเจตนาเดียวกันจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ศาลลงโทษฐานใช้/อ้างเอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นบทหนักที่สุดได้เพียงกระทงเดียว

คําพิพากษาฎีกาที่ 8407/2561 การที่จำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญากู้เงินที่ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายใช้หรืออ้างในการฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น อันเป็นความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมกับการที่จำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าวนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอันเป็นความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จและฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นการกระทำคนละวัน แต่เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันโดยมีเจตนาเดียวกันคือเพื่อที่จะให้ศาลพิพากษาให้ผู้เสียหายชำระเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามหนังสือสัญญากู้เงินที่ทำปลอมขึ้นเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษในความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 เพียงกระทงเดียว

ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุ 7 ปีเศษ เล่นอยู่กับเพื่อนบริเวณอู่ซ่อมรถ จำเลยซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นเรียกให้เข้าไปหาแล้วกระทำอนาจารจะเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานพรากเด็กอายุไม่เกินห้าปีไปเพื่อการอนาจารหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 8767/2561 คำว่า “พา”  หมายความว่า นำไปหรือพาไป ส่วนคำว่า “พราก” หมายความว่า การพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแลทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือน โดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอมอันเป็นการมุ่งหมายเพื่อยึดครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อเด็ก มิให้ผู้ใดล่วงละเมิดด้วยการพาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จำกัดว่ากระทำด้วยวิธีใดและไม่คำนึงถึงระยะเวลาใกล้ไกล ดังนั้น การที่จำเลยใช้กลวิธีด้วยการตะโกนเรียกผู้เสียหายที่ 2 ให้เข้าไปหาจำเลยและแม้ที่เกิดเหตุจะอยู่ห่างจากบริเวณที่ผู้เสียหายที่ 2 เล่นอยู่กับเพื่อนเพียง 7 เมตร กับแม้จะอยู่ในบริเวณอู่ซ่อมรถด้วยกันก็ตาม ถือได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปและพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพาเด็กยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินห้าปีไปเพื่อการอนาจาร

ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงขับรถกระบะพุ่งชนกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่ผู้ข่มเหงขับ โดยมีคนนั่งซ้อนท้ายซึ่งมิได้ร่วมในการข่อมเหงด้วย เป็นเหตุให้คนนั่งซ้อนท้ายถึงแก่ความตาย ดังนี้ ในส่วนคนนั่งซ้อนท้ายจะเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นด้วยเหตุบันดาลโทสะโดยพลาดหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 8882/2561 การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.มาตรา 72 เป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ส่วนการกระทำโดยพลาดตาม ป.อ.มาตรา 60 เป็นกรณีที่ผู้กระทำเจตนากระทำต่อบุคคลคนหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป สำหรับการกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ผู้กระทำต้องเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นแล้วว่าจะทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับผลนั้น ซึ่งเป็นผลที่เห็นได้ชัดว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

            ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกขับรถจักรยานยนต์เที่ยวเล่นตั้งแต่เวลาประมาณ 21 นาฬิกา โดย พ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายที่ 1 ส่วน ข. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ท. ไม่ปรากฏว่า พ.กับ ข. ผู้ตายทั้งสองได้ร่วมทำร้ายหรือมีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่ร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกทำร้ายจำเลย แม้ผู้ตายทั้งสองจะอยู่ในที่เกิดเหตุก็ไม่ปรากฎว่ามีการยุยงส่งเสริมสนับสนุนหรือให้กำลังใจเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกเกิดความฮึกเหิมรุมทำร้ายจำเลยกับพวก หลังเกิดเหตุผู้ตายทั้งสองไปกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกก็คงเป็นเพราะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยกันพฤติการณ์ของผู้ตายทั้งสองฟังไม่ได้ว่า ผู้ตายทั้งสองข่มเหงหรือร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยชับรถกระบะซึ่งมีขนาดใหญ่และมีแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์หลายเท่าฝ่าเข้าไปหรือพุ่งชนกลุ่มรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 กับพวกโดยแรง แม้กระทำเพียงครั้งเดียว ก็เห็นได้ว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ถูกชนจะถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้ตายทั้งสองโดยตรงไม่ใช่ กรณีที่จำเลยเจตนาที่จะกระทำต่อกลุ่มคนที่รุมทำร้ายจำเลย แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ผู้ตายทั้งสองโดยพลาดไป เมื่อผู้ตายทั้งสองมิได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการกระทำความผิดต่อผู้ตายทั้งสองจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้

คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกินหกเดือน อันไม่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ แต่จำเลยได้รับการปลดปล่อยก่อนกำหนดตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ดังนี้ จะถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนอันเข้าเงื่อนไขที่อาจรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 6815/2561 พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 มีผลเพียงให้จำเลยได้รับลดโทษหรือปล่อยก่อนกำหนดเท่านั้น หามีผลเป็นการลบล้างหรือทำให้จำเลยพ้นความผิดหรือถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกในคดีนั้นมาก่อนไม่ เมื่อคดีก่อนนั้นถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการที่พิพากษาลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 6 ปี 8 เดือน อันไม่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และเป็นโทษจำคุกเกินหกเดือน ดังนั้น แม้จำเลยได้รับการปล่อยก่อนกำหนดเท่าใดก็ตามก็ถือว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อนและเป็นโทษจำคุกเกินหกเดือนอันไม่เข้าเงื่อนไขที่อาจรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 (1) และ (2) ได้

เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมากระทำความผิดอีกโดยความผิดในครั้งหลังมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ดังนี้ ความผิดในครั้งหลังศาลจะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 7503/2561 จำเลยที่ 1 ซึ่งพ้นโทษในคดีก่อนนับถึงวันกระทำความผิดคดีนี้แม้จะเกินกว่า 5 ปี ก็ตาม แต่เมื่อมากระทำความผิดคดีนี้ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่จะรอการกำหนดโทษให้ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งพ้นโทษในคดีก่อนและกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกยังพ้นโทษมาไม่เกิน 5 ปี ทั้งความผิดในคดีก่อนและความผิดคดีนี้ต่างก็ไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ โดยโทษจำคุกในคดีก่อนเป็นโทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือน กรณีของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการกำหนดโทษให้ได้

เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกินหกเดือน แต่คดีดังกล่าวเวลากระทำความผิดเป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาคดีเรื่องหลัง ดังนี้ จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุก ได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 7264/2561 จำเลยเคยได้รับโทษจำคุก 3 ปี 3 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยพ้นโทษจำคุกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2559 คดีดังกล่าวเกิดเหตุเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ (คดีนี้เหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน 2548 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2548) จำเลยฎีกาว่าคดีนี้เป็นการกระทำความผิดครั้งแรกของจำเลย จึงถือว่าขณะกระทำความผิดคดีนี้จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนย่อมอยู่ในเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ที่บัญญัติว่า ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น (1) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน… ฯลฯ… ศาลจะรอการลงโทษผู้นั้นไว้ก็ได้นั้นหมายถึงว่า จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา ซึ่งตามมาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) มิได้ระบุว่าคดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น ต้องเป็นการกระทำความผิดมาก่อนคดีเรื่องหลัง จึงไม่อาจแปลกฎหมายดังที่จำเลยอ้างได้ เมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเป็นโทษในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนและมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้