คลังเก็บป้ายกำกับ: ป.วิแพ่งภาค2

โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จําเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ภายหลังจากโจทก์จําเลยแถลงหมดพยานแล้ว ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในที่ดินโฉนดอื่นของจําเลยด้วย ดังนี้ โจทก์จะขอแก้ไขคําฟ้อง ว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่นอกจากที่ระบุในคําฟ้องเดิมได้หรือไม่ และบุคคลภายนอกที่ใช้ทางพิพาทเป็นเส้นทางเดียวกับที่โจทก์ใช้ผ่านที่ดินจําเลยจะร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้หรือไม่

คําพิพากษาฎีกาที่ 5244 – 5245/2562 

โจทก์ยื่นคําฟ้องโดยเข้าใจว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7665 ของจําเลย แต่เพียงแปลงเดียว แต่เมื่อโจทก์จําเลยแถลงหมดพยานแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปัตตานี ทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่านอกจากทางพิพาทซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในที่ดิน จําเลยโฉนดเลขที่ 7665 แล้ว ยังมีทางพิพาทบางส่วนอยู่ในที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 7666 และโฉนดเลขที่ 7667 ด้วย โจทก์จึงยื่นคําร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคําฟ้องว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 7666 และ 7667 ด้วยเพื่อให้ตรงกับความเป็นจริง และหลังจากนั้นศาลชั้นต้นยังได้สืบพยานเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทําแผนที่พิพาท อีกปากหนึ่ง ดังนี้เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7666 และโฉนดเลขที่ 7667 ด้วย จึงเป็นกรณีที่มีเหตุสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคําร้อง ได้ก่อนนั้น เมื่อมีการขอแก้คําฟ้องในระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคําพิพากษา โจทก์จึงขอแก้ไขคําฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 

ผู้ร้องยื่นคําร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7670, และโฉนดเลขที่ 7671 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 7669  ไปทางทิศตะวันออก โดยผู้ร้องซื้อที่ดินดังกล่าว มาจาก ส. และ ส. ได้ใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจําเลยในโฉนดเลขที่ 7665 ออกสู่ถนน สาธารณะสายปากน้ำเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของทางมาตั้งแต่ปี 2518 จนกระทั่ง ส. ขายให้ผู้ร้อง และเมื่อผู้ร้องซื้อที่ดินดังกล่าวมาแล้วก็ได้ใช้ทางพิพาทสืบสิทธิจากเจ้าของเดิมเรื่อยมาโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของทางเช่นกัน โดยทางพิพาทเป็นเส้นทางเดียวกับเส้นทางที่โจทก์ใช้ผ่านที่ดินจําเลย ทั้งทางพิพาทต้นทางส่วนที่ติดกับถนนสายปากน้ำถึงที่ดินผู้ร้อง ทับซ้อนกับทางพิพาทที่โจทก์อ้างว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความอยู่ด้วย ดังนี้ ตามคําร้องของผู้ร้องดังกล่าวแปลได้ว่าผู้ร้องสมัครใจเข้ามาในคดีเพราะเห็นว่าเป็นความจําเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่เช่นเดียวกับโจทก์ และเกี่ยวเนื่องด้วยกับการบังคับคดีตามคําพิพากษา ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้ 

คดีนี้จําเลยได้นําพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างข้ออ้างของผู้ร้องได้อย่างเต็มที่ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายจําเลยเสียเปรียบแต่อย่างใด ส่วนทางพิพาทที่ผู้ร้องใช้ทับซ้อนกับทางพิพาทที่โจทก์ ใช้นั้นหากในอนาคตผู้ร้องไม่ได้เข้ามาในคดีอาจจะมีข้อพิพาทกับโจทก์ในการใช้ทางพิพาทได้ ผู้ร้องมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้ 

คดีแพ่ง ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา โจทก์จะยื่นคำร้องขอถอนฟ้องได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 3996/2561 

ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องได้เฉพาะก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้น จะขอถอนฟ้องหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วไม่ได้ หากมีการตกลงกันได้ระหว่างคู่ความ ก็ชอบที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในชั้นฎีกา โดยจะทำที่ศาลชั้นต้นหรือศาลฎีกาก็ได้ กรณีจึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 6 ได้ตามคำร้องของโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 6 และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงไม่ชอบ ให้ยกคำร้องขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6 เสีย แต่เมื่อได้ความว่าภายหลังจากโจทก์ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่ไม่รับฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 และไม่ปรากฏว่ามีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 ดังกล่าว ดังนั้น จึงต้องฟังว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เท่านั้น 

ฟ้องเดิมโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ไม่ได้บรรยายเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะขอแก้ไขคำฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 3365/2558  

ฟ้องเดิมโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นปาล์มน้ำมันและเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันและปลูกสร้างอาคารสำนักงานและที่พักคนงานและลูกจ้าง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งไม่มีสิทธิใด ๆ และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และโจทก์ หลังจากนั้นโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถนำที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินมาทำการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ การแก้ไขคำฟ้องอันสืบเนื่องมาจากการกระทำตามฟ้องเดิมจึงเป็นการแก้ไขคำฟ้องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 โดยหาจำต้องแก้ไขข้อหาหรือข้ออ้างได้เฉพาะการสละข้อหาในฟ้องเดิมบางข้อหรือเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์ไม่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องส่วนนี้ได้นั้นชอบแล้ว 

ยื่นฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นไว้แล้ว หากนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องแย้งอีก ฟ้องแย้งต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 2806/2561 

จำเลยที่ เคยยื่นฟ้องโจทกและ ส. ต่อศาลชั้นต้น ขอให้ขับไล่โจทก์และ ส. ออกจากบ้านพักคนงานและที่ดินสวนปาล์มน้ำมันเนื้อที่ 1,821 ไร่ พร้อมกับให้ชำระค่าเสียหาย โจทก์และ ส. ให้การว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว เนื่องจากจำเลยที่ 1 เชิด ล.(จำเลยที่ 2 คดีนี้) เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์เนื้อที่ 1,821 ไร่ แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ห้ามโจกท์และ ส. กับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านพักคนงาน และออกไปจากที่ดินสวนปาล์มน้ำมันเนื้อที่ 1,821ไร่ และให้โจทก์กับ ส. ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิพากษายืน ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวโจทกยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินสวนปาล์มน้ำมันเนื้อที่ 1,821 ไร่ เนื่องจากจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์เนื้อที่ 1,821 ไร่ แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้กรต่อสู้และฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบอำนาจให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันดังกล่าว และไม่ได้เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ เห็นได้ว่า ที่ดินพิพาททั้งสองคดีเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีทั้งสองมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน ว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ให้แก่โจทก์หรือไม่ คดีทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งของศาลชั้นต้นไว้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 นำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องแย้งโจทก์เป็นคดีนี้อีกโดย จำเลยที่ มีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนของฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งจึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องในคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) 

โจทก์ฟ้องขอให้จําเลยชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จ ศาลจะพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่รับเงินไว้หรือนับแต่วันผิดนัดได้หรือไม่

าพิพากษาฎีกาที่ 2569/2556  

โจทก์ขอให้บังคับจําเลยชําระเงินพร้อม ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2545 อันเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 2 เมษายน 2545 อันเป็น วันที่รับไว้ได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคําฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 และ 247 

คําพิพากษาฎีกาที่ 12683/2557 

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ และขอให้บังคับจําเลยที่ 1 ชําระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญา เมื่อโจทก์ฟ้องวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลย ที่ 1 ชําระเงินแก่โจทก์โดยกำหนดดอกเบี้ยให้นับตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2542 กับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคําฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง  

ปัญหาว่าศาลล่างพิพากษาให้เกินไปกว่าที่ปรากฏในคําฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง 

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลย คดีหลังโจทก์ฟ้องผู้สืบสิทธิของจำเลย ทั้งสองคดีมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีหนึ่งแล้ว ศาลในคดีหนึ่งจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 7799/2561 

โจทก์ฟ้อง ส. กับ ศ. เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 โดยบรรยายว่า ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ (ที่ดินมือเปล่า) ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจาก ฉ. และ ภ. และเข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์เนื้อที่ 11 ไร่เศษ ต่อมา จำเลยที่ 2 ขายที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่ ช. (จำเลยในคดีนี้) และ ช. ครอบครองที่ดินมาโดยสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 1 ปี ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ยื่นฟ้อง ศ. กับพวกในข้อหาฐานความผิดละเมิด ห้ามรบกวนการครอบครองทรัพย์สินเรียกค่าเสียหาย ต่อมา ศ. ขายสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดไม้ยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกไว้ทั้ง 11 ไร่เศษ เป็นเงิน 200,000 บาท ขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องที่ดินและชดใช้ค่าเสียหายสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาทั้งสองสำนวน ต่างโต้แย้งเป็นประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้คดีแรกโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยคดีนี้ร่วมกับ ศ. และพวกเป็นจำเลยก็ตาม แต่ตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ได้บรรยายยืนยันว่า ศ. ขายที่ดินส่วนที่ ศ. บุกรุกเข้าไปปให้จำเลยในคดีนี้อันเป็นปริยายว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์คนละคราวกับ ศ. แต่เป็นการเจข้าไปโดยอาศัยมูลเหตุจากการที่ ศ. ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นสำคัญ กรณีตามคำฟ้องจึงต้องถือว่าจำเลยผู้ผู้สืบสิทธิของ ศ. นั้นเอง ทั้งต้องถือว่าจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย ต่อมาเมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ และพิพากษายกฟ้อง คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำ ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีก 

คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด หากในชั้นที่สุด ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ผลของคำพิพากษาในคดีย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าว และจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของ ศ.จำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เพีบงใด ดังนั้น การรอฟังผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ของศาลชั้นต้นจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพิพากษาคดีต่อไป ย่อมทำให้ความยุติธรรมคดีนี้ดำเนินไปด้วยดี การที่ศาลชั้นต้นไม่หยิบยกปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นวินิจฉัย โดยยังคงวินิจฉัยในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาจึงไม่ชอบ 

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน โดยต่างฟ้องร้องซึ่งกันและกัน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีหนึ่งแล้ว ศาลในอีกคดีหนึ่งจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้หรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 7830/2561 

ก่อนคดีนี้ ในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม. ผู้ตาย ฟ้อง ก. กับจำเลยว่า ก. นำที่ดิน ส.ป.ก. อันเป็นมรดกของผู้ตายไปขายให้แก่จำเลย และส่งมอบหลักฐาน ส.ป.ก. ให้จำเลยไว้ แต่ ก. รับเงินเป็นของตน โดยทำสัญญากู้ยืมเงินไว้ว่า ผู้ตายยืมเงินจำเลยโดยมีที่ดินพิพาทตาม ส.ป.ก. ดังกล่าวเป็นประกันหากไม่ชำระหนี้ให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยทันที ต่อมาจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทขอให้ ก. คืนเงินแก่โจทก์ กับให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบ ส.ป.ก. คืนโจทก์ ก. และจำเลยให้การว่า ผู้ตายกู้ยืมเงินจำเลยเพื่อไปรักษาตัว โดยนำที่ดินพิพาทไปค้ำประกัน เมื่อผู้ตายไม่คืนเงิน จำเลยจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์จำเลยมีสิทธิยึดเอกสาร ส.ป.ก. จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ คดีดังกล่าวจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ตายกู้ยืมเงินจำเลยโดยมีการส่งมอบ ส.ป.ก. ไว้เป็นประกันการชำระหนี้หรือไม่ ในระหว่างการดำเนินกระบวนการพิจารณา จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอให้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันกับคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 ว่าผู้ตายกับจำเลยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 พิจารณาแล้วมีคำพิพากษาก่อนที่คดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 จะมีคำพิพากษาว่า ผู้ตายทำสัญญากู้ยืมเงินกับจำเลยโดยมีการส่งมอบ ส.ป.ก. ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายชำระหนี้เงินกู้คืนแก่จำเลย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยส่งมอบ ส.ป.ก. คืนให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ คดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวต่อไป เพราะจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 การที่ศาลในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 ยังคงดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นดังกล่าวต่อไป จนในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวว่า ผู้ตายกับจำเลยมิได้มีการทำสัญญากู้ยืมเงินต่อกัน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้าม ป.วิ.พ. มาตรา 144 

เมื่อความปรากฏต่อมาว่าคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์โดยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงถึงที่สุดว่า ผู้ตายทำสัญญากู้ยืมเงินจำเลยจริง เมื่อยังไม่มีการชำระหนี้เงินกู้คืนแก่จำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียก ส.ป.ก. คืนจากจำเลยได้ และผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1077/2556 ดังกล่าวยังคงผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความอยู่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง กรณีต้องบังคับตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1077/2556 ดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นรวมทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำได้ (พิพากษายกฟ้อง)