
คำพิพากษาฎีกาที่ 6145/2550
หลังจากโจทก์ได้สืบพยานไปบางส่วนแล้ว จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอแก้ไขคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธว่า จำเลยที่ 6 และที่ 7 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับโจทก์เป็นว่า จำเลยที่ 6 และที่ 7 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับโจทก์จริง แต่ต่อมาได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เพียงเก้าแสนบาทเศษ โจทก์ไม่ฟ้องให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 รับผิดภายในอายุความตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เห็นว่า ข้อความที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอแก้ไขเป็นการสละข้อต่อสู้เดิมที่ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันแล้วยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ ยอมรับว่าทำสัญญาค้ำประกันแต่ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากคดีขาดอายุความ เช่นนี้ข้อความที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอแก้ไขเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ทราบอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การได้ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เนื่องจากคดีนี้ไม่มีการสองสถานและกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ทั้งข้อความที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอแก้ไขว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นไม่ใช่เป็นปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้อง ดังที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 อ้างมาในคำร้องขอแก้ไขดำให้การ จึงหาใช่เป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชชนดังนั้นที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายหลังที่ใจทก์ได้สืบพยานไปบางส่วนแล้วเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180