
คําพิพากษาฎีกาที่ 8820/2561 จําเลยที่ 1 ทําสัญญากู้เงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ส. ทําสัญญาค้ำประกันและสัญญาจํานองเพื่อเป็นประกันหนี้ของจําเลยที่ 1 ซึ่งจําเลยที่ 2 (ภริยา) ส. ทําหนังสือให้ความยินยอมทํานิติกรรมทุกประเภท การให้ความยินยอมดังกล่าวเป็นผลให้จําเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิด ในหนี้อันคู่สมรสได้ก่อขึ้นเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ที่บัญญัติว่า หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส ดังต่อไปนี้… (4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน การให้ความยินยอมของคู่สมรสในการทํานิติกรรมเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสอยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 1476 ที่กําหนดให้เฉพาะการจัดการสินสมรสที่มีความสําคัญตาม มาตรา 1476 (1) ถึง (8) ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่าย สําหรับการทํานิติกรรมในส่วนที่ ส. ทําสัญญาจํานองต้องได้รับความยินยอมจากจําเลยที่ 2 ตามมาตรา 1476 (1) แต่การที่ ส. ทําสัญญาค้ําประกัน จําเลยที่ 1 หาได้อยู่ในบังคับมาตรา 1476 หรือเป็นการจัดการสินสมรสโดยตรงไม่ กรณีจะเป็นหนี้ร่วมต่อเมื่อจําเลยที่ 2 คู่สมรสได้ให้สัตยาบันตาม มาตรา 1490 (4) ซึ่งการที่จําเลยที่ 2 คู่สมรสให้ความยินยอมในการทํานิติกรรมตามหนังสือให้ความยินยอมเป็นการให้สัตยาบันของคู่สมรสตามมาตรา 1490 (4) หรือไม่นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ในส่วนที่ ส. สัญญาค้ำประกันจําเลยที่ 1 ไม่ใช่นิติกรรมที่จําต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส เมื่อจําเลยที่ 2 ให้ความยินยอมไว้เป็นการทั่วไปจึงเป็นการแสดงเจตนารับรู้และไม่คัดค้านที่ ส. สามีไปทํานิติกรรม หาใช่เป็นการให้สัตยาบันตามนัยของบทบัญญัติมาตรา 1490 (4) ไม่ เนื่องจากไม่มีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แต่อย่างใดว่า จําเลยที่ 2 รับรองการที่ ส. ก่อหนี้ขึ้นแล้วตามมูลหนี้ที่มีการทําสัญญาค้ำประกันจําเลยที่ 1 คงปรากฏเฉพาะการที่จําเลยที่ 2 รับรู้ถึงการเข้าทําสัญญาค้ำประกันของ ส. เท่านั้น เมื่อจําเลย ที่ 2 ไม่ได้ให้สัตยาบันการก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่คู่สมรสได้กระทําไป จําเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ส่วนการที่จําเลยที่ 2 มีฐานะเป็นทายาท โดยธรรมของ ส. การที่ ส. ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตาย ภาระการค้ำประกันที่ ส. ผูกพันตนเพื่อ ชําระหนี้เมื่อจําเลยที่ 1 ลูกหนี้ไม่ชําระหนี้ยังไม่ระงับสิ้นไป และถึงแม้จําเลยที่ 1 ทําสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ. โดยผู้ค้ำประกันหรือทายาทของผู้ค้ำประกัน ไม่ได้ร่วมลงชื่อในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก็ตาม แต่การทําสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นเพียงข้อตกลงผ่อนปรนในการชําระหนี้หาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันเป็นผลให้หนี้เดิมระงับ สิ้นไปไม่ อีกทั้งตามสัญญาค้ำประกันไม่ให้ผู้ค้ำประกันยกเอาการที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาหรือให้ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชําระหนี้เป็นเหตุปลดเปลื้องความรับผิดของผู้ค้ำประกัน เมื่อยังมีภาระ การค้ำประกันอยู่เช่นนี้ จําเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในฐานะทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกัน แต่จําเลยที่ 2 คู่สมรสซึ่งให้ความยินยอมในการทํานิติกรรมไม่ต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในฐานะส่วนตัวแต่อย่างใด คําพิพากษาฎีกาที่ 7568/2562 สัญญาค้ำประกันที่จําเลยที่ 1 ที่ 3 และ ก. ทํามิใช่นิติกรรมที่ต้องได้รับความยินยอมจากภริยา ประกอบกับหนังสือยินยอมระบุข้อความ ว่ายินยอมให้ทําสัญญา/ข้อตกลงเกี่ยวกับการขอสินเชื่อ การค้ำประกัน การจํานอง การจํานํา และ/หรือนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น อันมีลักษณะเป็นการให้ความยินยอมไว้เป็นการทั่วไป เป็นเพียงหนังสือแสดงว่าจําเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 รับรู้และไม่คัดค้านที่จําเลยที่ 1 ที่ 3 และ ก. สามีก่อหนี้ขึ้นตามสัญญาค้ำประกัน มิใช่เป็นการให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) จําเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในฐานะส่วนตัวจึงไม่ต้องร่วมรับผิดชําระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นเพียงการผ่อนปรนเงื่อนไขในการชําระหนี้ที่โจทก์ให้โอกาสแก่บริษัท ซ. ซึ่งเป็นลูกหนี้ ไม่ได้เป็นการทําหนี้มีเงื่อนไขให้กลายเป็นหนี้ปราศจากเงื่อนไขเพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าไปในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขหรือเปลี่ยนเงื่อนไข ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งหนี้ หรือมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 และมาตรา 350 เพราะลูกหนี้ยังคงเดิม ทั้ง ต. ร. และ ส. ก็เป็นผู้ค้ำประกันในมูลหนี้เดิม จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะทําให้หนี้เดิมระงับ