คลังเก็บป้ายกำกับ: วิอาญา

ถ้าผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้มีอำนาจจัดการแทนตามป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5, 6 จะมีอำนาจยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30 เเละยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 แทนได้หรือไม่

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 30 วางหลักว่า คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง วางหลักว่า ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้

กรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่ด้วยย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและไม่มีสิทธิดำเนินคดีอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น มารดาของผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีอาญาเเทน รวมทั้งไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) ประกอบ มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

อย่างไรก็ตาม มารดาของผู้เสียหายยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งตามป.วิ.อาญา มาตรา 44/1 แทนได้ แม้ผู้ตายจะไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เพราะประเด็นว่าค่าสินไหมทดแทนจะต้องชดใช้กันมากน้อยเพียงใด ย่อมต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 ที่ให้พิจารณาว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2561 ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย ไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตาย และไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์เดิม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมโดยวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายกระทำความผิดเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี บ. มารดาของผู้ตายยังคงมีสิทธิเรียกร้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ บ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายในทางแพ่งชอบที่เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ แต่จำเลยทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมากน้อยเพียงใด ย่อมต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 ที่ให้พิจารณาว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร เมื่อผู้ตายกับจำเลยทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนอันสืบเนื่องมาจากการทำงาน วันเกิดเหตุผู้ตายกวักมือมายังจำเลยทั้งสอง แล้วจำเลยทั้งสองกับผู้ตายชกต่อยกันจนจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ บ. สองในสามส่วน ของค่าสินไหมทดแทนที่ บ. จะได้รับ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ผู้ร้องซึ่งมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้หรือไม่ จะยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เเละหากยื่นคำร้องเเล้ว ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ได้ฎีกา เเต่คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่

การที่ผู้ร้องมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิดด้วย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาร่วมกับพนักงานอัยการตามมาตรา 30 เเต่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนเเพ่งตามมาตรา 44/1 ได้

เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 เเล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอผู้ร้อง แม้ผู้ร้องไม่ได้ฎีกาในเรื่องค่าสินไหมทดแทนมาด้วย เเต่คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนเเพ่งขึ้นมาวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดีอาญาตามมาตรา 46 ได้ ดังนั้น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้้องได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 ได้ เเม้ผู้ร้องไม่ได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7004/2561 ผู้ร้องมีส่วนในการก่อให้จำเลยกระทำความผิดคดีนี้ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามความใน ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาตามมาตรา 30 แต่มีสิทธิยื่นคำร้องส่วนแพ่งขอเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย ตามมาตรา 44/1 ได้ เมื่อการกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด แต่เป็นการทำร้ายร่างกายผู้ร้องโดยบันดาลโทสะซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด คดีในส่วนแพ่งจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 46 โดยฟังว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ร้องและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง แม้ผู้ร้องไม่ได้ฎีกาเรื่องค่าสินไหมทดแทนมาด้วย ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดีอาญาได้เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลสูงจะมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างนั้น จะต้องมีข้อเท็จจริงเรื่องนั้นปรากฏในการนำสืบในศาลชั้นต้นด้วย ศาลสูงจะนำข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่เคยนำสืบในศาลล่าง (นอกสำนวน) มาใช้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไม่ได้

โดยหลักแล้ว ประเด็นที่ศาลสูงจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ต้องเป็นประเด็นที่คู่ความฝ่ายนั้นจะได้ยกขึ้นอ้างมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทุกชั้นศาล

แต่หลักนี้มีข้อยกเว้นอยู่ว่า ถ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ามาแล้วโดยชอบในศาลล่างก็ตาม

ต่อมาเกิดปัญหาว่า ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา คู่ความพยายามยกขึ้นอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ไม่เคยปรากฏในสำนวนคดีในศาลล่างมาก่อนเลย เช่น จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธลอยในศาลชั้นต้นและมิได้นำสืบเรื่องการสอบสอบสวนที่ไม่ชอบ แต่ในอุทธรณ์ จำเลยกลับอ้างว่าการสอบสวนไม่ชอบเพราะพนักงานสอบสวนซ้อมจำเลยให้รับสารภาพในชั้นสอบสวน เห็นได้ว่า ประเด็นนี้เรื่องการสอบสวนไม่ชอบนี้จำเลยไม่เคยยื่นคำให้การมาก่อนและไม่เคยนำสืบก่อน จึงไม่มีพยานหลักฐานปรากฏ

ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงสร้างหลักการขึ้นมาว่า ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้นั้น จะต้องมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนคดีในศาลล่างมาก่อนด้วย ศาลจึงจะยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้

หลักการนี้ใช้กับทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาด้วย

ป.วิ.แพ่ง ดูมาตรา 142 (5), 224

ป.วิ.อาญา ดูมาตรา 195

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2561 แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ที่บัญญัติให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดนั้นจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งนั้นจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันไว้แล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งศาลจะยกเอาข้อเท็จจริงตามคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาหรือสำเนาบันทึกการจับกุมมารับฟังเพียงลำพังว่ามีการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งตามมาตรา 100/2 โดยไม่มีการสืบพยานอื่นหาได้ไม่

อ่านเพิ่มเติม

คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ พนักงานสอบสวนชายไปสอบปากคำผู้เสียหายหญิงซึ่งฝ่าฝืนป.วิ.อาญา มาตรา 133 วรรคสี่ จะทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมดและทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่

ป.วิ.อาญา มาตรา 133 วรรคสี่ วางหลักว่า ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ การถามปากคำผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิง ให้พนักงานสอบสวนหญิงเป็นผู้สอบสวน เว้นแต่ผู้เสียหายนั้นยินยอมหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น

การที่พนักงานสอบสวนชายไปสอบปากคำในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิง โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายนั้นยินยอมหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 วรรคสี่

อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้มีแนววินิจฉัยว่า การสอบสวนที่ฝ่าฝืนดังกล่าวถือเป็นเพียงข้อบกพร่องผิดพลาดในรายละเอียด หาใช่ข้อสาระสำคัญ ถึงขนาดที่จะทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมดอันจะทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตามป.วิ.อ มาตรา 120 ดังนั้น พนักงานอัยการโจทก์จึงยังมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6017/2560 พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบแปดปีในความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยมีนักสังคมสงเคราะห์ มารดาผู้เสียหายและพนักงานอัยการร่วมในการถามปากคำผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง โดยใช้พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นชายเป็นผู้สอบสวนและไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายนั้นยินยอมหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น และได้มีการบันทึกความยินยอมและเหตุจำเป็นนั้นไว้ ซึ่งแม้ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 วรรคสี่ ก็ตาม แต่เป็นเพียงความบกพร่องหรือผิดพลาดเฉพาะในส่วนนี้ ซึ่งเป็นข้อบกพร่องผิดพลาดในรายละเอียดหาใช่ข้อสาระสำคัญ ถึงขนาดจะทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมดอันจะทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ มาตรา 120 ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

 หมายเหตุ ในทางปฏิบัติพนักงานสอบสวนหญิงมีจำนวนไม่เพียงพอ

คำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องได้หรือไม่