
คำพิพากษาฎีกาที่ 252/2562
การแต่งงานอยู่กินฉันสามีภริยาของ จ. กับ อ.เป็นการอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส อ. จึงมิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จ. ต่อมาภายหลังได้แยกกันอยู่โดยการใช้ชีวิตประจำวันของ อ. อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วน จ.
ประกอบธุรกิจและพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร การที่โจทก์อ้างว่าที่ดินและหุ้นพิพาทของ จ. เป็นทรัพย์สินที่ อ. ทำมาหาได้ร่วมกันกับ จ. โดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างสามีภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ต้องได้ความว่า สามีภริยาต่างมีส่วนร่วมกันในการทำมาหาได้ในทรัพย์สินนั้นด้วยกัน หาใช่ว่าทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ถือว่าสามีภริยาต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นคนละครึ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากเรื่องของสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายบัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินอันสามีภริยาได้มาระหว่างสมรสว่าเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้ให้เห็นการมีส่วนร่วมในการทำมาหาได้ของ อ. ด้วย
กองบัญชาการตำรวจสันติบาลซึ่งได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือตอบให้ศาลทราบว่า ทำการตรวจสอบค้นหาเอกสารการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยของ จ. แล้วปรากฏว่าไม่พบเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด และไม่มีหลักฐานว่าอยู่ที่ใด เนื่องจากเอกสารดังกล่าวมีอายุกว่า 40 ปี ซึ่งในห้วงเวลานั้นมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและย้ายที่ทำการหลายครั้ง เชื่อว่าอาจชำรุดหรือสูญหายในระหว่างขนย้าย กรณีดังกล่าวจึงเข้าหลักเกณฑ์ของ ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารได้
ทรัพย์พิพาทในส่วนที่เป็นที่ดินมีชื่อ จ. เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1373 ประกอบกับการที่ จ. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินอันเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 จำเลยจึงได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากข้อสันนิษฐานที่เป็นคุณว่า จ. เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมทั้งในส่วนที่เป็นหุ้นพิพาทก็มีชื่อ จ. เป็นเจ้าของหุ้นตามทะเบียนหุ้น เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหุ้นพิพาทเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการทำมาหาได้ร่วมกันระหว่าง จ. กับ อ. ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์เช่นกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 2851/2561
ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำร้องของตนว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับผู้ร้องสอด จำเลยให้การปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ผู้ร้องสอดจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 และโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเอกสารมหาชนมีชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของ ป.วิ.พ. มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร ผู้ร้องสอดจึงต้องนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อให้เป็นไปตามภาระการพิสูจน์
และต้องหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวด้วย
เหตุที่ผู้ตายมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเพียงผู้เดียว เนื่องจากผู้ตายได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากบิดามารดา ผู้ตายครอบครองทำประโยชน์มากกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ผู้ตายอยู่กินและจดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องสอด ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ตอนสมรส เป็นสินส่วนตัวของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (1) แม้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ตายหลังจากผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องสอดแล้ว ก็ไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายกลับกลายเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายได้มาในระหว่างสมรสอันจะเป็นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) เมื่อที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ผู้ตายจึงมีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1036/2561
สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทลงลายมือชื่อและประทับตราสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ป.วิ.แพ่งมาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร ทั้งให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้ในนั้นทุกประการ ตามป.พ.พ.มาตรา 1024 เมื่อสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นระบุว่าจำเลยที่ 3 ถือหุ้น 2,250 หุ้นตามจำนวนที่โจทก์อ้างว่าซื้อจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่เป็นจริงหรือไม่มีอยู่หรือความจริงเป็นเช่นใด ซึ่งเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงว่าจำเลยที่ 3 ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 เพียง 250 หุ้น มิใช่ 2,250 หุ้น ตามที่ปรากฎในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นนั้น