คลังเก็บหมวดหมู่: วิแพ่ง ภาค 4

มูลหนี้ของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นมูลหนี้ค่าขายที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดไว้แต่โจทก์มิได้บอกลงทะเบียนข้อความจริงเกี่ยวกับราคา และดอกเบี้ยในราคาที่ยังค้างชำระในชั้นลงทะเบียนสัญญาซื้อขายนั้น หากมีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้คดีอื่นมายื่นคำร้องขอเฉลี่ย โจทก์จะอ้างว่าโจทก์มิสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือไม่

ฎ.3241/2532 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับพวกอีกสองคนร่วมกันใช้เงินให้ผู้ร้อง หากจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ชำระให้เอาที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ผู้ร้องแต่ราคาที่ดินที่จำเลยจำนองไว้มีราคาไม่พอชำระหนี้ให้ผู้ร้องได้ และผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองอีก ผู้ร้องจึงขอเฉลี่ยเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์ในคดีนี้ 

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า มูลหนี้ของโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้เป็นมูลหนี้ค่าขายที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดไว้ ซึ่งจำเลยทั้งสองค้างชำระโจทก์อยู่พร้อมดอกเบี้ยโจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 (3), 276 และมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยทั้งสองจนเต็มจำนวนได้ก่อนเจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญ ขอให้สั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิเฉลี่ยทรัพย์ได้เฉพาะส่วนที่เหลือจากที่โจทก์บังคับได้เต็มจำนวนแล้วเท่านั้น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยหนี้ในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินในคดีนี้ได้ตามขอ โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์หลังจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลค่าขายอสังหาริมทรัพย์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังค้างชำระสำหรับที่ดินแปลงพิพาทที่โจทก์นำยึดบังคับคดี โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้มีบุริมสิทธิในอันจะได้รับชำระหนี้จากการบังคับคดีทรัพย์สินดังกล่าวได้ก่อนผู้ร้องผู้เป็นเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 (3), 276 ก็ตาม แต่สำหรับกรณีเจ้าหนี้บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างดังกล่าวยังอยู่ในบทบังคับของกฎหมายที่จะต้องบอกลงทะเบียนข้อความจริงเกี่ยวกับราคาและดอกเบี้ยในราคาที่ยังค้างชำระในชั้นลงทะเบียนสัญญาซื้อขายนั้น อันแสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ประสงค์ให้ผู้ทรงบุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ต้องจดทะเบียนบุริมสิทธิไว้ มิฉะนั้นบุริมสิทธิย่อมสิ้นผลนับแต่นั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 288 ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่ได้รับชำระหนี้ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังค้างชำระในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ที่โจทก์ฎีกาคัดค้านว่าเหตุที่มิได้บอกลงทะเบียนไว้เพราะเข้าใจว่าเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อชำระหนี้จะใช้เงินได้ครบถ้วน ก็ปรากฏว่าขัดแย้งกับข้อตกลงตามสัญญาซื้อขายซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์จะได้รับชำระราคาส่วนที่เหลือเมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาข้อ 6 แล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาประการสุดท้ายในข้อที่ผู้ร้องมิได้คัดค้านเป็นประเด็นไว้ในชั้นอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจบุริมสิทธิตามกฎหมายเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้ผู้ร้องมิได้คัดค้านไว้ในชั้นอุทธรณ์ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) 

โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีในวันสุดท้ายที่มีสิทธิบังคับภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากภาพถ่ายสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำส่งไม่ชัดเจน และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมบางคนถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องเช่นว่านั้นเสียก่อน ดังนี้ จะถือว่าโจทก์บังคับคดีภายในสิบปีแล้วหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 7124/2561  

การร้องขอให้บังคับตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271(เดิม) (ปัจจุบัน คือ มาตรา 274)  เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการขั้นตอนต่างๆของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี  ขั้นต่อไปต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี  และขั้นตอนสุดท้ายเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โจทก์จึงต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในวันที่ 24 เมษายน 2556   ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2547 และได้ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2553 แล้ว  แต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์  ครั้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีได้เป็นวันสุดท้าย  โจทก์ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 6083 และ 6084  ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมแล้ว  เพียงแต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากภาพถ่ายสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำส่งไม่ชัดเจนและปรากฏว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมบางคนถึงแก่ความตาย  เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องเช่นว่านั้นเสียก่อน   เช่นนี้ย่อมถือว่าโจทก์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการบังคับคดีครบถ้วนภายในระยะเวลาบังคับคดีตามมาตรา 271(เดิม) แล้วเพียงแต่มีเหตุขัดข้องทำให้การดำเนินการบังคับคดีไม่แล้วเสร็จ  เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีต่อไปจนเสร็จสิ้นได้  ส่วนที่โจทก์ยื่นคำขอให้ยึดที่ดินดังกล่าวอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน  2558 พร้อมนำส่งภาพถ่ายสิ่งปลูกสร้างเละเอกสารเพิ่มเติมก็เป็นการแสดงความประสงค์ที่จะให้มีการบังคับยึดที่ดินที่โจทก์ขอให้ยึดไว้แล้วตามคำขอให้ยึดทรัพย์วันที่ 24 เมษายน 2556ต่อไปนั่นเอง  หาใช่เป็นกรณียื่นคำขอให้ยึดทรัพย์เมื่อล่วงเลยระยะเวลาบังคับคดีไม่