
คําพิพากษาฎีกาที่ 5372/2562
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อนับแต่วันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับแล้ว โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นมา แต่ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่กรณีพระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น และมาตรา 19 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำประกัน ให้เป็นไปตามมาตรา 686 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้” ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติไว้ว่า “เมื่อลูกหนี้ผิดนัดให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด…และวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง” สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง โดยผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าชื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นรายงวดตามจำนวนที่ตกลงกัน และผู้ให้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้ที่เช่าชื้อให้ผู้เช่าซื้อหากไม่มีการกำหนดทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่กันแล้วสัญญาเช่าซื้อย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ จึงนับว่าทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นหนี้ประธานในการก่อให้เกิดสัญญาเช่าซื้อ เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้การส่งมอบรถยนต์กระบะดังกล่าวคืนหรือใช้ราคาแทนจึงเป็นหนี้ประธานแห่งสัญญามิใช่อุปกรณ์แห่งหนี้ในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น การที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายบังคับไว้โดยมีหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ผิดนัด ก็หาเป็นผลให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลุดพ้นจากการต้องร่วมชำระหนี้ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนแก่โจทก์ภายหลังสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไม่